ต่อมหมวกไต
(Adrenal
gland)
ต่อมนี้ในสัตว์ชั้นสูงโดยเฉพาะนกกับสัวต์ดูดนมนั้นมีเนื้อเยื่อแตกต่างกันอยู่
2 ชนิด คือ
ก.
บริเวณชั้นนอก (Adrenal cortex) ภายในชั้นนี้ยังแบ่งเป็น
3 บริเวณย่อยๆ
ทำให้ส่วนนี้สร้างฮอร์โมนออกมาได้มากชนิดที่สุดคือมีถึงกว่า 50 ชนิด ซึ่งแยกตามหน้าที่แล้วได้ 2 ชนิดคือ
ฮอร์โมน กลูโคคอร์ติคอยด์ (Glucocorticoids) กลุ่มนี้มีผลต่อ การควบคุมเมตาโบลิซึมของคาร์โบไฮเตรด โดยทำหน้าที่ตรงข้ามกับอินซูลิน
คือไปทำให้น้ำตาลในเลือดเพิ่มปริมาณมากขึ้นดังนั้นในกรณีที่ตับอ่อนทำงานไม่เต็มที่ ฮอร์โมนกลุ่มนี้จะช่วยทำให้เป็นเบาหวานเพิ่มขึ้น
ตัวอย่างของฮอร์โมนกลุ้มนี้ที่พบในธรรมชาติ
ได้แก่ คอร์ติโซล, คอร์ติโคสเตอโรน, คอร์ติโซน (Cortisol
Corticosterone, cortisone) และ 11- ดีไฮฌดรคอร์ติโคสเตอโรน
(11- dehydrocorticosterone)
ผลของฮอร์โมนกลุ่มนี้ยังมีผลต่อการสร้างยูเรีย รวมทั้งการห้ามการหลั่ง ACTH จากต่อมใต้สมองส่วนหน้า
นอกจากนั้นยังมีผลห้ามเม็ดเลือดขาวไม่ให้เคลื่อนที่ไปยังบริเวณที่มีบาดแผลและทำลายเม็ดน้ำเหลืองทำให้เม็โเลือดขาวชนิดลิมโฟไซต์ลดจำนวนลงรวมทั้งไปลดขนาดต่อมน้ำเหลือง
เช่น ต่อมไธมัส (Thymus gland) และม้ามให้เล็กลงอีกด้วย
ทำให้การสร้างภูมิคุ้มกันในร่างกายลดลง
และมีผลคล้ายฮอร์โมนกลุ่มที่สองในการควบคุมปริมาณน้ำและเกลือแร่อีกด้วย
อีกกลุ่มหนึ่งของฮอร์โมนจากต่อมหมวกไตส่วนนอก คือพวกไมเนอราโลคอร์ติคอยด์
(mineralocortcoids) ทำหน้าที่ควบคุมสมดุลของน้ำและเกลือแร่ภายในร่างกาย โดยควบคุมกระบวนการขนส่งอิออนต่างๆ
บริเวณเซลล์เยื่อบุผิวของเนฟรอน
ต่อมเหงื่อ ผนังลำไส้ รวมทั้งการรักษา Na+ และขับ K + ตามธรรมชาติถ้าขาดฮอร์โมนกลุ่มนี้ทำให้เกิดการสูญเสีย Na+ ทางบริเวณผิวของต่อมต่างๆ
แต่จะเก็บ K+ เอาไว้ ทำให้ร่างกายซูบผอม
ผิวหนังตกกระ ไม่สามารถรักษาสมดุลของน้ำและเกลือแร่ต่างๆไว้ได
กระเพาะกับลำไส้ไม่ทำงานจนกระทั่งตาย
รักษาได้โดยการฉีดไมเนอราโลคอร์ติคอยด์และน้ำเกลือจะช่วยได้ โรคชนิดนี้เรียกว่า
โรคแอดดิสัน (Addison’ s disease)
คนไข้ที่เป็นโรคนี้ยังไม่สามารถรักษาระดับน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในระดับปกติได้
เนื่องจากขาดกลูโคคอร์ติคอยด์
ดังนั้นการรักษาจึงต้องฉีดทั้งกลูโคคอร์ติคอยด์และไมเนอราโลคอร์ติคอยด์
ส่วนผู้ที่เป็นเนื้องอกที่ต่อมหมวกไตส่วนนอกหรือต่อมใต้สมองหลั่ง ACTH
มากกว่าปกติจะเกิดเป็นโรคคูซิ่ง (Cushing’ s disease) มีอาการตรงกันข้ามกับโรคแอดดิสัน คือร่างกายจะสะสม Na+ และน้ำมากกว่าปกติ ทำให้บวมน้ำตามส่วนต่างๆ
ของร่างกายมีไขมันไปสะสมบริเวณหน้าท้องมากกว่าส่วนอื่นของร่างกายน้ำตาลในเลือดเพิ่มมากขึ้น
เมื่อเป็นมากเข้าจะทำลายเบตาเซลล์ของไอสเลท ออฟ ลางเกอร์ฮานส์
ทำให้เป็นโรคเบาหวานได้
ฮอร์โมนจากต่อมหมวกไตชั้นนอกจะหลั่งออกมามากถ้ามีความเครียด (stress) ทุกชนิดเกิดขึ้น ในสัตว์ป่าส่วนนี้ของต่อมใหญ่มากต่อเมื่อสัตว์เชื่องลงต่อมนี้จะเล็กลง
ข.
บริเวณชั้นใน (Adrenal medulla) อยู่ส่วนกลางของ
ต่อมหมวกไต สร้างฮอร์โมนสองชนิดคือ แอดรีนาลิน หรือเอปิเนฟริน (adrenaline หรือ epinephrine) กับนอร์แอดรีนาลิน (noradrenline)
หรือนอร์เอปิเนฟริน (norepinephrne)
แอดรีนาลินจะถูกกระตุ้นให้หลั่งออกมาเมื่อเกิดความเครียดขึ้น
ทางร่างกาย เช่น ตื่นตกใจ ดีใจ โกรธ อาจเรียกได้ว่าเป็น ฮอร์โมนฉุกเฉิน
เมื่อออกมาแล้วจะไปกระตุ้นตับและกล้ามเนื้อให้หลั่งกลูโคสออกสู่ระบบหมุนเวียดเลือด
ทำให้มีพละกำลังมากผิดปกติ เช่น สามารถแบกของหนักๆ วิ่งหนีไฟไหม้ได้ แต่ไม่สามารถยกของนั้นกลับได้เมื่อไฟดับ สามารถกระโดดจากที่สูงๆ
ได้หรือทำให้ทำร้ายร่างกายผู้อื่นได้เมื่อโกรธจัด ทั้งๆ ที่ปกติไม่สู้ใครเลย
จนอาจถึงทำให้ฆ่าคนได้ ถ้าโกรธมากๆ แต่เมื่อแอดรีนาลินลดลงอยู่ในสภาวะปกติ
จึงจะมีอารมณ์ปกติเหมือนเดิม แอดรีนาลิน นอกจากจะมีผลกับน้ำตาลในเลือดแล้วยังทำให้ความดันเลือดเพิ่มสูงขึ้น
หัวใจเต้นแรงและเร็วขึ้น เส้นเลือดแดงขนาดเล็กๆ ที่อวัยวะต่างๆ ขยายตัว
ส่วนเส้นเลือดแดงขนาดเล็กที่ผิวหนังและช่องท้องหดตัว
นอร์แอดรีนาลินหรือนอร์เอปิเนฟรินนอกจากจะสร้างได้จากต่อมหมวกไตแล้ว
ยังสามารถสร้างได้จากประสาทซิมพาเธติกของ ANS อีกด้วย
ผลของนอร์แอดรีนาลินคล้ายๆ กับแอดรีนาลินแต่รุ่นแรงน้อยกว่า
แต่ผลของความดันเลือดสูงขึ้นของฮอร์โมนทั้งสองชนิดต่างกันที่นอร์แอดรีนาลินทำให้เส้นเลือดแดงที่ไปเลี้ยงอวัยวะภายใสนต่างๆ
บีบตัว แต่แอดรีนาลินทำให้หัวใจสูบฉีดมากขึ้น แต่เส้นเลือดแดงขยายตัว
อวัยวะเพศ (Sex
organ)
อวัยวะเพศหญิงและชายทําหน้าที่เป็ฯทั้งต่อมมีท่อคือสร้างไข่และสเปิร์ม
แล้วยังสร้างฮอร์โมนควบคุมการทำงานของระบบสืบพันธุ์ตั้งแต่วัยหนุ่มสาว (Puberty)
จนกระทั่งโตเต็มวัย
รวมทั้งควบคุมให้สืบพันธุ์มีลูกหลานเป็นปกติ

อัณฑะ (Testis)
ก. อัณฑะ (Testis) นอกจากทำหน้าที่สร้างสเปิร์มแล้วบริเวณเซลล์แทรก
(lnterstitial cells) ซึ่งอยู๋ระหว่างหลอดสร้างอสุจิ (seminiferous
tubule) (รูปภาพที่ 16.17) ยังถูกกระตุ้นจาก
ฮอร์โมน LH จากต่อมใต้สมองให้สร้างฮอร์โมนเพศชาย เรียกว่า
แอนโรเจน (Androgens) ที่ประกอบด้วยฮอร์โมนหลายชนิดที่สำคัญที่สุด
คือ เทสโทสเตอโรน (Testosterone) ซึ่งทำหน้าที่ควบคุมลักษณะของเพศชาย
เช่น นมแตกพาน เสียงแตก ลูกกระเดือกแหลม หนวดขึ้นเหนือริมฝีปาก มีขนบริเวณหน้าแข้ง
รักแร้อวัยวะเพศ มีขนจากอวัยวะเพศจนถึงสะดือ กล้ามเนื้อ แขนขาเติบโตแข็งแรงกว่าเพศหญิง
แต่ถ้าตัดอัณฑะออกตั้งแต่เด็ก
ลักษณะต่างๆ ดังกล่าวจะไม่เกิด
รวมทั้งไม่สามารถสืบพันธุ์ได้สมัยโบราณนิยมตอนพวกเด็กชายที่ทำหน้าที่สวดมนต์ในโบสถ์คแธอริคในกรุงโรม
เพื่อกันไม่ให้เสียงแตกส่วนจีนจะตัดอัณฑะพวกขันทีออกเพื่อไม่ให้ยุ่งเกี่ยวกับสนมของกษัตริย์
ถ้าชายที่มีฮอร์โมนเพศชายต่ำกว่าปกติ
จะไม่มีหนวด ขน ลูกกระเดือก
เหมือนชายปกติ
รวมทั้งอวัยวะเพศไม่เจริญมีขนาดเท่าตอนเป็นเด็กๆ เท่านั้นเอง

รังไข่ ovary
ข.
รังไข่ (Ovary) เป็นแหล่งสร้างฮฮร์โมนเพศหญิง
รวมทั้งการสร้างเซลล์ไข่ (follicle) ให้แบ่งเซลล์แบบไมโอซิส
แล้วหลุดจากรังไข่เมื่อเจริญเต็มที่
โดยอยู่ใต้การควบคุมสมองโกนาโดโทรฟิคฮอร์โมนจากต่อมใต้สมอง
ตัวรังไข่แตกต่างจากอัณฑะที่ว่า ไม่สามารถสร้างเซลล์สืบพันธุ์ขึ้นมาใหม่ได้
เหมือนกับอัณฑะสร้างอสุจิในสัตว์ดูดนมนั้นมากกว่า 99 % ของไข่จะฝ่อก่อนเจริญถึงขั้นสุดท้าย
รังไข่เป็นเนื้อเยื่อที่สร้างฮอร์โมนซึ่งสามารถเปลี่ยนแปลงทั้งรูปร่างและหน้าที่ได้อย่างอัศจรรย์ซึ่งไม่มีเนื้อเยื่อใดๆ
ในร่างกายทำได้เหมือน ในรังไข่มีแหล่งสร้างฮอร์โมนที่สำคัญอยู่สองแห่งคือ
ฟอลลิเคิลกับ คอร์ปัส ลูเตียม
ฟอลลิเคิลของรังไข่แตกต่งจากฟอลลิเคิลของต่อมไธรอยด์ที่มีไข่อยู่ข้างใน
และภายในเซลล์ซ้อนกันอยู่หลายชั้นโดยไม่มีช่องกลวงตรงกลาง
ยกเว้นเมื่อไข่เกือบสุดก่อนหลุดออกจากรังไข่นั้นฟอลลิเคิลจะสร้างฮอร์โมนเพศหญิงขึ้นเรียกว่าอิสโตรเจน
(estrogens)
ซึ่งควบคุมลักษณะการเป็นหญิง เช่น มีเสียงเล็ก สะโพกผาย
อวัยวะเพศและเต้านมขยายขนาดขึ้นมีขนบริเวณรักแร้ และอวัยวะเพศ
แต่ไม่สามารถถึงสะดือ
เมื่อไข่ตกจากรังไข่แล้วเกิดคอร์ปัส
ลูเตียมขึ้นแทนทำให้ช่องกลวงเดิมมีเนื้อเยื่อเต็ม เซลล์เหล่านี้สร้างฮอร์โมนโปรเจสเตอโรน (progesterone)
โดยทำหน้าที่ร่วมกันกับอิสโตรเจนเพื่อช่วยสร้างเนื้อเยื่อชั้นในของมดลูกให้หนาขึ้น สาหรับเตรียมรับไข่ที่โดนผสมฝังตัว
และเจริญในบริเวณนั้นจนกระทั่งคลอดรวมทั้งไปกระตุ้นต่อมน้ำนมให้ขยายตัวแต่ไม่สร้างน้ำนม
ถ้าไข่ไม่ถูกผสมคอร์ปัสลูเตียมจะสลายตัวพร้อมกับหยุดสร้างโปรเจสเตอโรนทำให้มีรอบเดือน
พร้อมกับฟอลลิเคิลชุดใหม่เจริญต่อไปทั้งนี้โดยอยู่ภายใต้การควบคุมของ FSH และ LH จากต่อมใต้สมองส่วนหน้า
ในกรณีที่รังไข่ไม่สามารถสร้างฮอร์โมน หรือโดนตัดไป
ทำให้ไม่มีลักษณะเฉพาะของเพศหญิงในกรณีที่รังไข่แต่มีอิสโตรเจนต่ำกว่าระดับปกติทำให้รอบเดือนผิดปกติ ทั้งเต้านมและมดลูกผิดปกติ แต่ถ้าขาด
โปรเจสเตอโรน ขณะตั้งครรภ์ทำให้แท้งลูกได้
ในกรณีที่เกิดการปฏิสนธิ
การสร้างฮอร์โมนในหญิงจะมีการเปลี่ยนแปลง
โดยที่โปรเจสเตอโรนจะมีปริมาณมากอยู๋ตลอดช่วงที่ตั้งครรภ์โดยการสร้างจากคอร์ปัสลูเตียมในระยะแรก
และหลังจากที่ไข่ที่ถูกผสมเจริญเป็นบลาสโตซิสต์ (blastocyst) ไปเกาะที่ผนังมดลูก
หลังจากเกิดปฏิสนธิได้ 7-8 วัน และมีการสร้างรก (placenta)
ขึ้น และรกยังสามารถสร้างได้ทั้งอิสโตรเจน และโปรเจสเตอโรน
การทำงานของต่อมไร้ท่อ
มิได้ทำงานหรือทำการหลั่งฮอร์โมนออกมาตลอดเวลาแต่มีการควบคุมทั่งการหลั่งและการยับยั้งการสร้างฮอร์โมน
ตัวอย่างเช่น ในช่วงที่หิวรวมทั้งตกใจกลัวหนาว
จะเกิดการกระตุ้นระบบประสาทอัตโนมัติ ให้หลั่งเอปิเนฟริน
ซึ่งฮฮร์โมนนี้จะไปสู่ตับอย่างรวดเร็วในขณะเดียวกันส่วนหนึ่งของฮอร์โมนนี้จะกระตุ้นไฮโปธาลามัสทำให้เกิดการหลั่งคอร์ติโคโทรปิน
รีลิสซิ่ง แฟคเตอร์ (corticotropin releasing factors CRF) ซึ่งไหลไปตาม
การหมุนเวียนของเลือด
ไปสู่ต่อมใต้สมองส่วนหน้าทำให้ต่อมใต้สมองส่วนหน้านี้หลั่งฮอร์โมน ACTH ออกมาไปกระตุ้นต่อมหมวกไตส่วนนอกอีกต่อหนึ่ง
ต่อมหมวกไตจะหลั่งไฮโดรคอร์ติโซน (hydrocortisone) ซึ่งมีผลหลายประการ
แต่ที่สำคัญคือ ส่วนที่ดึงกรดอะมิโนจากกล้ามเนื้อ กรดอะมิโนนี้จะถูกนำไปที่ตับ
แล้วเปลี่ยนเป็นกลูโคส ทำให้ปริมาณ กลูโคสใสนเลือดเพิ่มขึ้น
กลไกการควบคุมต่อมไธรอยด์เป็นตัวอย่างหนึ่งของการควบคุมปฏิกริยาย้อนกลับเชิงลบ
(negative feedback) โดยที่ฮอร์โมนไธรอกซินไปเร่งเมตาโบลิซึมของการหายใจ
เมื่อฮอร์โมนกระตุ้นต่อมไธรอยด์ (Thyrotropic hormone) จากต่อมใต้สมองส่วนหน้า
ส่งไปถึงต่อมไธรอยด์ ทำให้สร้างไธรอกซินมากขึ้น ปริมาณไธรอกซินในเลือดเพิ่มมากขึ้น
จึงย้อนกลับไปที่ต่อมใต้สมองเพื่อลดการหลั่งฮฮร์โมนกระตุ้นต่อมไธรอยด์ ดังรูปที่16.25
การหลั่งไธรอกซินขึ้นกับการควบคุมปฏิกิริยาย้อนกลับเชิงลบ (negative
feedback) ระหว่างต่อมใต้สมองส่วนหน้าและต่อมไธรอยด์
โดยต่อมใต้สมองส่วนหน้าหลั่งฮอร์โมนกระตุ้นต่อมไธรอยด์ (Thyropic hormone) ทำให้ต่อมไธรอยด์เพิ่มปริมาณการหลั่งฮอร์โมนไธรอกซินเพื่อไปเพิ่มอัตราการหายใจระดับเซลล์
ฮฮร์โมนไธรอกซินเป็นตัวควบคุมการหลั่งฮอร์โมนกระตุ้นต่อมไธรอยด์ด้วยเช่นกัน
คือเมื่อไธรอกซินหลั่งออกมามากต่อมใต้สมองจะลดอัตราการหลั่งฮอร์โมน
กระตุ้นต่อมไธรอยด์ ทำให้ต่อมไธรอยด์ลดปริมาณการหลั่งไธรอกซิน
ฮอร์โมนไธรอกซินในเลือดจึงอยู่ในสภาพสมดุล
ทำให้การหายใจระดับเซลล์อยู่ในสภาพสมดุลด้วย
การหลั่งไธรอกซินขึ้นกับการควบคุมปฏิกิริยาย้อนกลับเชิงลบ (negative
feedback) ระหว่างต่อมใต้สมองส่วนหน้าและต่อมไธรอยด์
โดยต่อมใต้สมองส่วนหน้าหลั่งฮอร์โมนกรระตุ้นต่อมไธรอยด์ (Throtropic
hormone) ทำให้ต่อมไธรอยด์เพิ่มปริมาณการหลั่งฮอร์โมนไธรอกซินเพื่อไปเพิ่มอัตราการหายใจระดับเซลล์
ฮอร์โมนธรอกซินเป็นตัวควบคุมการหลั่งฮอร์โมนกระตุ้นต่อมไธรอยด์ด้วยเช่นกันคือเมื่อไธรอกซินหลั่งออกมามากต่อมใต้สมองจะลดอัตราการหลั่งฮอร์โมน
กระตุ้นต่อมไธรอยด์
ทำให้ต่อมไธรอยด์ลดปริมาณการหลั่งไธรอกซิน
ฮอร์โมนไธรอกซินในเลือดจึงอยู่ในสภาพสมดุล
ทำให้การหายใจระดับเซลล์อยู่ในสภาพสมดุลด้วย
ไฮโปธาลามัสมีบทบาทควบคุมการสร้างและการหลั่งฮอร์โมนของต่อมใต้สมองส่วนหน้าโดยการหลั่ฮอร์โมนเฉพาะไปกระตุ้นหรือยับยั้งการสร้าง และการหลั่งฮอร์โมนของต่อมใต้สมองส่วนหน้าตัวอย่างหนึ่งได้แก่
โทโรโทรปิน รีลีสซิ่ง ฮอร์โมน (Thyrotroin releasing hormone,
TRH) ไปกระตุ้นต่อมใต้สมองส่วนหน้าให้สร้างฮอร์โมนกระตุ้นไธรอยด์ เมื่อฮอร์โมนกระตุ้นต่อมไธรอยด์ มีปริมาณมาก จะเกิดการควบคุมย้อนกลับเชิงลบ
เพื่อลดการสร้างและการหลั่ง TRH จากไฮโปธาลามัส ดังรูปที่ 16.26
ในการปล่อยรีลีสซิ่ง แฟคเตอร์ของไฮโปธาลามัส คือ โทโรโทรปิน รีลีสซิ่ง
แฟคเตอร์ (Thyrotropin releasing fector, TRH) ไปกระตุ้นต่อมใต้สมองส่วนหน้าให้หลั่งฮอร์โมนกระตุ้นต่อมไธรอยด์ซึ่งแสดงในรูปที่
16.26 กานกระตุ้นจากไฮโปธาลามัสจึงเป็ฯการกระตุ้นเมตาโบลิซึมของการหายใจทางอ้อม
ปริมาณฮอร์โมนกระตุ้นต่อมไธรอยด์ที่มีมาก จะย้อนไปลดการหลั่ง TRH จากไฮโปธาลามัสจึงเป็นการควบคุมแบบย้อนกลับเชิงลบ
เพื่อลดการทำงานของต่อมใต้สมองส่วนหน้า
การควบคุมกันเองของการหลั่งฮอร์โมนนี้เรียกว่า กลไลย้อนกลับ (Feed
back mechanism) การทำงานนี้มีลักษณะคล้ายๆ
เทอร์โมสแตท (Thermostat) ในตู้เย็น หากอุณหภูมิตู้เย็นต่ำไป
(หมายถึงเย็นจัดเกินไป) เทอร์โมสแตทจะตัดสวิตซ์
เครื่องทำความเย็นหยุดทำงาน แต่เมื่ออุณหภูมิสูงไปเทอร์โมสแตทจะเปิดสวิตซ์
เครื่องทำความเย็นให้ทำงานอีก
ในการทำงานของต่อมไร้ท่อนั้น
อาจมีระบบประสาทร่วมทำงานประสานกันใวนการควบคุมการทำงานของอวัยวะที่เป็ฯเป้าหมา
ตัวอย่างในกระต่ายตัวเมียเมื่อผสมพันธุ์เส้นประสาทจากอวัยวะเพศจะมีกระแสประสาทส่งไปกระตุ้นไฮโปธาลามัส ให้ปล่อยรีลีสซิ่ง แฟคเตอร์ส่งไปกระตุ้นต่อมใต้สมอง
ต่อมใต้สมองปล่อยลูติไนซิ่งฮอร์โมนเข้าสู่เลือดไปกระตุ้นให้เกิดการ ตกไข่ แต่การตกไข่ของคนและไพรเมท (Primates)
อื่นๆ มิได้ขึ้นกับการกระตุ้นของระบบประสาท
แต่ขึ้นกับการกระตุ้นของไฮโปธาลามัสซึ่งเกิดจากไบโอโลจิคอล คลอด (biological clock)
จากการศึกษาเกี่ยวกับฮอร์โมนมาแล้วจะพบได้ว่าต่อมใต้สมองนั้น
ควบคุมการทำงานของต่อมไร้ท่ออื่นๆ อีกหลายๆ ต่อม
ได้แก่ ควบคุมต่อมไธรอยด์ ต่อมหมวกไต
รังไข่ อัณฑะ และฟอลลอเคิล เป็นต้น
สมัยหนึ่งมีคนนิยมเรียกต่อมใต้สมองว่า Master gland เพราะต่อมนี้ควบคุมอื่นๆ
ดังกล่าวว แต่ความจริงแล้วต่อมใต้สมองส่วนหน้าก็ไม่ใช่ “Master gland” เพราะการทำงานของต่อมนี้อยู่ภายใต้การควบคุมของไฮโปธาลามัสอีกที่หนึ่ง โดยอาศัยการควบคุมย้อนกลับดังกล่าว

